วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

ประเพณีไหลเรือไฟ

ชาวโพนพิสัยเริ่มเตรียมอุปกรณ์ในการสร้างเรือไฟ เพื่อใช้ในงานออกพรรษาก งานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค 15 ค่ำเดือน 11 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 ตุลาคม 2557 ประเพณีไหลเรือไฟ ป็นประเพณีของชาวอีสาน ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “เฮือไฟ” จัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที โดยมีประวัติความเป็นมาดังนี้ กล่าวคือพระพุทธเจ้าเสด็จไปฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพญานาค พระพุทธองค์ได้แสดงธรรมเทศนาโปรดพญานาคที่เมืองบาดาล และพญานาคได้ทูลขอพระพุทธองค์ประทับรอบพระบาทไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที ต่อมาบรรดาเทวดา มนุษย์ ตลอดจนสัตว์ทั้งหลายได้มาสักการะบูชา รอยพระพุทธบาท นอกจากนี้ประเพณีไหลเรือไฟยังจัดขึ้นเพื่อขอขมาลาโทษแม่น้ำที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูล และเป็นการเอาไฟเผาความทุกข์ให้ลอยไปกับสายน้ำ 





งานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค จ.หนองคาย ๕-๑๖ ต.ค.๕๗

จังหวัดหนองคาย โดยเทศบาลเมืองหนองคาย เทศบาลตำบลโพนพิสัย อำเภอโพนพิสัย กำหนดจัดงานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค ประจำปี ๒๕๕๗ ระหว่างวันที่ ๕-๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง เพื่อสืบสานจารีตประเพณีอันดีงาม “ฮีสิบสอง” โดยจะจัด ณ เทศบาลเมืองหนองคาย และ มณฑลพิธีท่าน้ำวัดไทย อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย บั้งไฟพญานาค มีความเชื่อว่าพญานาคจัดขึ้นมาเพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธเจ้า ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ไปโปรดพระมารดา ในช่วงเข้าพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือน ทั้งเมืองมนุษย์ สวรรค์ และเมืองบาดาล ต่างก็สาธุการจัดงานสมโภช ในวันออกพรรษา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี ในปีนี้ จังหวัดหนองคาย และเทศบาลเมืองหนองคาย กำหนดจัดงานประเพณีออกพรรษาและเทศกาลบั้งไฟพญานาค ระหว่างวันที่ ๕-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ โดยจะมีการจัดแสดงแสง เสียง เปิดตำนานบั้งไฟพญานาค ไหลกะโป๋เดือน ๑๑ การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน ฯ และที่ อ.โพนพิสัย มีการจัดงานโพนพิสัยบั้งไฟพญานาคดลก ระหว่างวันที่ ๘-๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ นอกจากการชมบั้งไฟพญานาคแล้ว ยังมีการแสดงรำบูชาพญานาค ประกวดธิดานาคา การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ปล่อยปลาแม่น้ำโขง ๑๐๐,๐๐๐ ตัว เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย
ผู้ที่สนใจเดินทางมาชมความมหัศจรรย์ของบั้งไฟพญานาค และท่องเที่ยวในงานประเพณีเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค จ.หนองคาย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เทศบาลเมืองหนองคาย โทร. ๐๔๒-๔๒๐๕๗๔ เทศบาลตำบลโพนพิสัย โทร. ๐๔๒-๔๐๕๕๖๓-๔ ททท.สำนักงานอุดรธานี โทร. ๐๔๒-๓๒๕๔๐๖-๗ หรือที่www.tourismthailand.org ทั้งนี้ ได้มีการแถลงข่าวการจัดงาน ที่ท่าน้ำวัดไทย อ.โพนพิสัย เมื่อเย็นวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๗ และที่ สนง.เทศบาลเมืองหนองคาย เมื่อเย็นวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๗ โดยมี นายอโณทัย ธรรมกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย เป็นประธานการแถลงข่าว รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ อบจ.หนองคาย ททท.สำนักงานอุดรธานี ตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย อ.โพนพิสัย เทศบาลตำบลโพนพิสัย และเทศบาลเมืองหนองคาย



วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก
จุดสุดท้าย 7. อำเภอปากคาด จ.บึงกาฬ
บริเวณริมแม่น้ำโขง ของอำเภอปากคาด เป็นจุดหนึ่งที่ชมบั้งไฟได้เป็นอันดับสองของ จ.บึงกาฬ มีถนนริมแม่น้ำโขง สามารถชมความงามของบั้งไฟพยานาคได้ยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร จุดนี้เป็นลักษณะโค้งน้ำโขง ทำให้ชมได้สวยงามอีกด้วย อำเภอปากคาด อยู่ห่างจาก จ.บึงกาฬประมาณสี่สิบ กิโลเมตร จุดที่ชมบั้งไฟพยานาคอยู่กลางเมืองเลยครับ ที่พักในตัวอำเภอมีทั้งรีสอร์ท และ โรงแรมขนาดเล็ก

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก
จุดที่ 6. อำเภอ บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
อำเภอนี้ มีจุดชมสองจุดคือ บริเวณริมแม่น้ำโขง และอีกจุดคือบริเวณบึงโขงหลง เป็นหนึ่งให้จุดที่มีผู้พบเห็นบั้งไฟพยานาคได้
เป็นจุดหนึ่งที่ชมบั้งไฟ ที่ไม่ได้อยู่แม่น้ำโขง จุดที่ชม คือบริเวณหาดคำสมบูรณ์ เป็นแหล่งพักผ่อนคลายร้อย มีกิจกรรมทางน้ำมากมาย

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก
จุดที่ 5. อ.เมือง จ.บึงกาฬ
บ้านอาฮง ต.หอคำ อ.เมือง จ.บึงกาฬ คือ บริเวณแก่งอาฮง และ วัดอาฮงศิลาวาส
จุดนี้เป็นจุดที่ชมบั้งไฟได้มากที่สุดในจังหวัดบึงกาฬ

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก
จุดที่4. อำเภอศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
จุดนี้ชมได้ที่ วัดหินหมากเป้ง วัดที่สร้างบนโขดหินริมแม่นำ้โข
วัดนี้เคยเป็นวัดของ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พระสงฆ์สายพระป่า หลวงปู่มั่น

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก
จุดที่3. อำเภอสังคมบริเวณ จุดชม อ่างปลาบึกบ้านผาตั้ง อำเภอสังคม เป็นจุดที่มีภูมิประเทศสวยงาม
มีโขดหินน้อยใหญ่ กลางน้ำโขง มีที่พักหลากหลายรูปแบบ แต่เป็นจุดที่ไกลจากห่างจาก อ.เมือง 95 กม.

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก
จุดที่2. อำเภอ รัตนวาปีเป็นจุดที่พบว่ามีบั้งไฟขึ้นมาที่สุด มาหลายปีเลยทีเดียว
รัตนวาปี มีจุดชมบั้งไฟหลายจุด แต่จุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือบริเวณบ้านนำ้เป ซึ่ง ติดกับ พุทธอุทยานนานาชาติ ที่กล่าวไปข้างต้น จุดนี้เป็นจุดที่มีการทำถนนริมแม่น้ำโขง สามารถชมบั้งไฟได้ตลอดลำน้ำ มีที่พักในบรรยากาศ โฮมสเตย์ มีจุดจอดรถหลายจุด เช่น โรงเรียนบ้านน้ำเป บรรยากาศวิถีชาวบ้าน

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก

7จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก
จุดที่1 อำเภอโพนพิสัย จ.หนองคายเป็นจุดชม ที่มีชื่อเสียงที่สุด เดินทางได้สะดวก อยู่ไม่ไกลจากตัวจังหวัดอ.โพนพิสัย มีจุดชมหลายจุดครับที่แนะนำจุดแรก คือ บริเวณพุทธอุทยานนานาชาติเป็นจุดที่เมื่อสองปีก่อน มีการบันทึกว่าพบบั้งไฟพญานาคมากที่สุดท จุดนี้เองเป็นจุดที่มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีการปล่อยโคม

เชิญเที่ยวงานเทศกาล " บั้งไฟพญานาคโลกและประเพณีแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2557 "

เชิญเที่ยวงานเทศกาล " บั้งไฟพญานาคโลกและประเพณีแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2557 " ระหว่างวันที่ 8-16 ตุลาคม 2557 นี้ 
World Naga Fireball Festival 2014

วัดปัจจันตบุรี บ้านแดนเมือง

ศิลาจารึกวัดแดนเมือง 1 อยู่ที่วัดปัจจันตบุรี บ้านแดนเมือง ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย จารึกอักษรไทยน้อยรุ่นแรก พระยาปากเจ้า เจ้าเมืองปากลายเป็นผู้สร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2073 มีความว่าพระยาปากห้วยหลวงได้สร้างวัดแดนเมือง และกล่าวถึงพระยานคร เจ้าเมืองโคตรบอง (นครพนม) ว่าได้เคยมาครองเมืองปากห้วยหลวง ได้กล่าวถึงบ้านสับควายห้วยแดนเมืองซึ่งเป็นชุมชนใหญ่

วัดปัจจันตบุรี โพนพิสัย

ศิลาจารึกวัดแดนเมือง 2 อยู่ที่วัดปัจจันตบุรี จารึกอักษรไทยน้อย เมื่อปี พ.ศ. 2078 เป็นพระบรมราชโองการของสมเด็จพระโพธิสาร แห่งอาณาจักรล้านช้าง แต่งตั้งให้พระยาแสนสุรินทราชัยไกรเสนาธิบดี พระยากลางกรุงราชธานีเป็นประธานในการฟื้นฟูพระศาสนา และให้หมื่นใต้ หมื่นเหนือ และราชบัณฑิตนันกุมารเป็นข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณไปสำรวจชำระ พระวินัยสงฆ์ในพระอารามต่าง ๆ ในเมืองจันทบุรี และสอดส่องให้สมณชีพราหมณ์ให้เคร่งครัดในพระวินัย พร้อมทั้งให้ดูแลวิสุงคามสีมา เรือกสวน ไร่นา ข้าโอกาสของวัดวาอาราม ห้ามมิให้ใครไปยึดครอง

ร้านคอฟฟี่ คาเฟ่

ร้านคอฟฟี่ คาเฟ่ 
หนึ่งในร้านอาหารที่แนะนำว่าอร่อย เป็นร้านอาหาร+ร้านกาแฟสด เบเกอรี่ บริเวรลานจอดรถ ตลาดสด ชอเจริญ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย โทร.0908561171


หลวงพ่อพระเสี่ยง

หลวงพ่อพระเสี่ยง

วัดมณีโคตร ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
หลวงพ่อพระเสี่ยง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตัก ๘ นิ้ว สูง ๒๔ นิ้ว หนักประมาณ ๑๐๐ กิโลกรัม เป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่มากองค์หนึ่ง
ตามประวัติความเป็นมา หลวงพ่อพระเสี่ยง เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ที่กษัตริย์ล้านช้างสร้างขึ้นให้เป็นพระเสี่ยงทายประจำเมือง และใช้เป็นพระเสี่ยงทายในโอกาสเสด็จขึ้นครองราชย์ หรือมีเหตุการณ์สำคัญ ในโอกาสต่าง ๆ กาลต่อมาเมื่อมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้น และเพื่อความปลอดภัย จึงได้อัญเชิญมาจากอาณาจักรล้านช้าง ในคราวเดียวกันกับการอัญเชิญหลวงพ่อพระสุก พระเสริม พระใส และประดิษฐานไว้ที่วัดมณีโคตร อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เพื่ออัญเชิญเข้าสู่เมืองหลวงของสยามประเทศ โดยอัญเชิญพระเสี่ยงขึ้นบนหลังช้าง ซึ่งพระเสี่ยงได้แสดงอภินิหาร ให้ช้างหนักจนไม่สามารถเดินทางไปได้ แล้วตกลงจากหลังช้าง เป็นเหตุให้พระกรรณบิ่น พระเกศคด ชาวเมืองจึงเชื่อว่า วัดมณีโคตรน่าจะเป็นสถานที่ประดิษฐานถาวร จึงได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ที่นี่ ตั้งแต่บัดนั้นจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ประเพณีเกี่ยวกับหลวงพ่อพระเสี่ยง ตรงกับงานเทศกาลตรุษสงกรานต์วันที่ ๑๓ เมษายนของทุกปี และงานบุญบั้งไฟ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ของทุกปี ถือเป็นประเพณีที่สำคัญของชาวอำเภอโพนพิสัยปฏิบัติสืบกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ หลวงพ่อพระเสี่ยงเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองโพนพิสัย ที่ผู้คนให้ความเคารพกราบไหว้ขอพรอย่างสม่ำเสมอไม่ขาดสาย จนเป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญที่ว่า “หลวงพ่อพระเสี่ยงแสนศักดิ์สิทธิ์สายโลหิตหล่อเลี้ยงอีสาน ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค”

สวนสาธารณะวัดหนองเรือคำ

สวนสาธารณะวัดหนองเรือคำ
“สวนสาธารณะวัดหนองเรือคำ” ตำบลโพนพิสัย อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เป็นสถานที่พักผ่อน เป็นสถานที่ออกกำลังกาย ซึ่งมีต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่นให้กับผู้แวะเวียนเข้ามา เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 19.00 น.

ประชุมเพื่อเตรียมงานเทศกาล บั้งไฟพญานาคโลกและประเพณีแข่งเรือชิงถ้วยพระราชทานฯ "ประจำปี 2557

เมื่อวันที่31สิงหาคม2557 ท่านคณกร เครือวรรณ นายอำเภอโพนพิสัย และนายแพทย์สรร สุนทรธนากุล นายกเทศมนตรีตำบลโพนพิสัย ประชุมคณะกรรมการเตรียมจัดงานเทศกาล " บั้งไฟพญานาคโลกและประเพณีแข่งเรือชิงถ้วยพระราชทานฯ "ประจำปี 2557 ณ ห้องประชุมสำนักงานเทศบาลโพนพิสัย

วัดหลวงหรือวัดหลวงเจติยาราม

วัดหลวงหรือวัดหลวงเจติยาราม
วัดหลวงหรือวัดหลวงเจติยารามซึ่งยกฐานะเป็นอารามหลวง ซึ่งประวัติพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงในจังหวัดหนองคายนั้นมีจำนวนอยู่มากมาย เช่นหลวงพ่อพระใส หลวงพ่อ,พระเสี่ยง,หลวงพ่อพระเสริมและหลวงพ่อพระสุกที่ได้รับประดิษฐาน ณ วัดหลวงหรือวัดหลวงเจติยาราม ที่ตั้งอยู่ หมู่ที่ 2 ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

ตลาดมิตรภาพ จุดผ่อนปรนชายแดน ไทย-ลาว

ตลาดมิตรภาพ จุดผ่อนปรนชายแดน ไทย-ลาว 
โพนพิสัย-ปากงึม(ทุกวันเสาร์และวันอังคาร)ตั้งแต่เวลา07:00-12:00 ประสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “ตลาดจุดผ่อนปรน ไทย-ลาว" ตลาดจุดผ่อนปรน ไทย-ลาว อยู่ในเขตเทศบาลตำบลโพนพิสัย เปิดบริการและเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยในเขตเทศบาลตำบลโพนพิสัย และหมู่บ้านใกล้เคียงกับประชาชนในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยการนำสินค้าที่มีอยู่ในประเทศลาว ข้ามฝั่งบ้านโดน มาฝั่งไทยตรงกับจุดผ่อนปรน เขตเทศบาลตำบลโพนพิสัย เพื่อเป็นการซื้อขายระหว่างกัน 2 ประเทศ ทำให้ประชาชนทั้งสองฝั่งโขงมีรายได้ร่วมกัน ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ผลิตจากสังคมนิยม และเป็นพืชพันธุ์ไม้ที่ปลูกเอง ได้แก่ ผัก ผลไม้สด รวมทั้งผลิตผลต่างๆ ที่ผลิตด้วยฝีมือ หรือเป็นสินค้าประเภทใช้แรงงานคน ได้แก่ เครื่องจักรสาน กระติบข้าว พาข้าวขันโตก เก้าอี้หวาย กำไลเงิน และเครื่องเงิน เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า อาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค และผ้าทอมือ ผ้ามัดหมี่ อีกมากมายจนกลายเป็นแหล่งซื้อขายแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน


วัดไทย(ถ้ำเมืองบาดาลจำลอง) อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย

วัดไทย ตั้งอยู่เลขที่ 327 บ้านจุมพล ถนนพิสัยสรเดช ซอยสุขาภิบาล 16 หมู่ที่ 1 ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย สังกัดคณสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 28 ตาราวา อาณาเขต ทิศเหนือประมาน 139 เมตร จดซอยสุขาภิบาล 16 ทิศใต้ประมาน 139 เมตร จดซอยสุขา ภิบาล 15 ทิศตะวันออกประมาน 58 เมตร จดถนนพิสัยสรเดช ทิศตะวันตกประมาน 64 เมตร จดแม่น้ำโขง อาคารเสนาสนะประกอบด้วยอุโบสถ กว้าง 11 เมตร ยาว 21 เมตร ศาลาการเปรียญอาคาร ครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น สร้าง พ.ศ. 2419
โรงครัวเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สร้าง พ.ศ. 2529 กฏิสงฆ์ จำนวน 2 หลัง เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ ปูชนียวัตถุมีพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน หน้าตักกว้าง 1.5 เมตร สูง 2.50 เมตร วัดไทยตั้งเมื่อ พ.ศ. 2320 เป็นวัดที่สร้างโดยข้าราชการที่ออกตรวจการเป็นคนไทยภาค กลาง ชาวบ้านเป็นคนอีสานเห็นว่าเป็นวัดที่สร้างโดยคนไทยภาคกลางจึงเรียกชื่อว่าวัดไทย ได้รับพระ ราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2340
ความเป็นมาในการสร้างราชาพญานาค “นาคราชัยยัญ” แรงบัลดาลใจในการก่อสร้างนาคปก 9 เศียรและถ้ำเมืองบาดาลจำลองในปี พ.ศ. 2550 เป็นปีที่ อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ครบรอบการตั้งเมื่องครบ 100 ปีเจ้าอาวาสวัดไทยได้นิมิตว่า มีหญิงชาย ร่างกายสีดำ มาอาราชธนานิมนต์ให้สร้างสัญลักษณ์ประจำเมืองบาดาลหรือเมืองพญานาคขึ้นไว้ ที่เมืองมนุษย ณ บริเวณ วัดไทย โดยขอสร้างเป็นสัญลักษณ์ ดังต่อไปนี้
1. ราชาแห่งพญานาคสีดำ ผู้เฝ้าประตูทางเข้าเมืองบาดาลสูง 19 เมตร
2. สร้างเป็นนาคบาท คือ นาคกินนาค หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง
3. เสาหลักเมืองบาดาล รูปสามเหลี่ยม อันศักดิ์สิทธิ์
4. ประตูทางเข้าเมืองบาดาล
5. อุโมงค์เข้าถ้ำจำลอง 7 ห้องของเมืองบาดาล คือ เมื่อผู้ใดได้ลอกถ้ำแล้วจะประสบความสำเร็จในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการให้สร้าง 5 ประการนี้ ประดิษฐานไว้บริเวณวัดไทยแล้ววัดไทยและชาวอำเภอโพนพิสัยตลอดผู้ได้มาสถานที่แห่งนี้จะปรารถนสิ่ง ใดก็สมหวังทุกประการ

ตำนานเมืองปากห้วยหลวง

ตำนานเมืองปากห้วยหลวง

เมืองปากห้วยหลวงคือเมืองโพนพิสัยในปัจจุบัน หลักฐานจากพงศาวดารล้านช้างได้กล่าวว่า เมืองปากห้วยหลวงเป็นเมืองลูกหลวง เมื่อย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่เมืองเวียงจันทน์แล้ว เมื่อ พ.ศ. 2093 เป็นต้นมา นั่นคือสมัยที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้กลับมาจากเมืองเชียงใหม่มาครองอาณาจักรล้านช้าง เมื่อครั้งที่พระราชบิดา คือพระเจ้าโพธิสาลราชสวรรคต เมื่อ พ.ศ. 2093 ภายหลังได้ย้ายราชธานีมาจาดเมืองหลวงพระบางมาอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ เนื่องจากพม่าในสมัยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ได้รุกรานและเข้ายึดเมืองเชียงใหม่ในที่สุด และกำลังแผ่แสนยานุภาพมายังกรุงศรีอยุธยาและ และล้านช้าง ตามที่ทราบกันดีแล้ว เมืองปากห้วยหลวง เป็นเมืองมาก่อนหน้าที่จะย้ายราชธานีล้านช้างลงมาอยู่เมืองเวียงจันทน์ แต่คงมีความสำคัญน้อยกว่าสมันที่ราชธานีอยู่ที่เวียงจันทน์ ดังที่พบตำแหน่งเจ้าเมืองปากห้วยหลวงว่า"พระยาปาก" หรือ "พระยาปากห้วยหลวง" ดังศิลาจารึกวัดแดนเมือง 1 สร้างเมื่อ พ.ศ.2073 กล่างถึงพระยาปากห้วยหลวงได้อุทิศที่ดินสร้างวัดแดนเมือง แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าเมืองปากห้วยหลวงนั้นจะเป็นบุคคลสำคัญในราชวงค์ล้างช้างไม่ว่าราชธานีจะตั้งอยู ณ เมืองหลวง พระบาง หรือเมืองเวียงจันทน์ แต่กระนั้นเราไม่สามารถหาหลัหฐานทางประวัตศาสตร์ของลาวและศิลาจารึกของเมืองปากห้วยหลวงได้ทุกยุคทุกสมัยอย่างต่อเนื่อง ในที่นี้จะพยายามเรียบเรียงเรื่องราวของเมืองปากห้วยหลวงตามหลักฐานที่พอมีปรากฏบ้าง เป้นสมัย ๆ ไป ในตอนต่อไป

ประวัติผู้ก่อตั้งเมืองโพนพิสัย พระยาสุนธรธรรมธาดา

พระยาสุนธรธรรมธาดา (คำสิงห์  สิงห์ศิริ) เป็นบุตรของพระฤกษ์มนตรี และนางทองสี เกิดที่บ้านจอมนาง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เมื่อวันอังคาร ปีมะโรง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2375 เมื่อ พ.ศ.  2380  เริ่มเรียนหนังสือไทยจากท่านครูหลักคำ จนเมื่ออายุครบบวชจึงได่อุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา 2 พรรษา ที่วัดจุมพล อำเภอโพนพิสัย จากนั้นได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายกอง บัญชีอยู่กับเจ้าเมืองโพนพิสัย มีหน้าที่สำรวจไพร่พลและเตรียมเสบียงอาหารสมทบกองทัพหลวง ซึ่งไปจากพระนคร
     พ.ศ. 2397  ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกองบัญชี
     พ.ศ. 2398 ได้รับพระราชทานตราตั้งเป็นท้าวพรหมสาร
     พ.ศ. 2401 ได้รับพระราชทานตราตั้งเป็นเจ้าเมืองประชุมพนาลัย (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองบริคัณฑ์นิคม อยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง คือแขวงบริคัณฑ์ ในประเทศลาวปัจจุบัน) ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นที่ พระศรีสุรศักดิ์สุนทร
     พ.ศ. 2426 มีพวกฮ่อเข้ามาปล้มชายพระราชอาณาเขตทางแคว้วสิบสองจุไทย จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชวรานุกูล พระยาสุโขทัย เป็นแม่ทัพเกณฑ์ไพร่พลทางหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือไปปราบฮ่อ พระศรีสุรศักดิ์สุนทร (คำสิงห์ สิงห์ศิริ) ได้ร่วมทัพหลวงเป็นแม่กองออกสู้รบปราบฮ่อ ถ้ามีข้าศึกมาย่ำยีอาณาเขตทางด้านนี้ ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นแม่กองต่อต้านศึกด้วยทุกครั้ง จนเป็นที่พึงพอใจของทางราชการทุกครั้ง
     พ.ศ. 2434 ได้ติดตามพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมข้าหลวงต่างพระอง๕มณฑลฝ่ายเหนือเข้าไปกรุงเทพฯ ถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวงในรัชกาลที่ 5 สังกัดกรมมหาดเล็กเวรสิทธิ์
     พ.ศ.2436 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่กองไปขัดตาทัพต่อสู้ฝรั่งเศสที่แก่งเกซึ่งเข้ามายึดดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงจนเหตุการณ์ด้านนี้สงบลง และดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตกไปเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส รวมทั้งเมืองบริคัณฑ์นิคมด้วย  จึงโปรดเกล้าฯให้พระศรีสุรศักดิ์สุนทร (คำสิงห์  สิงห์ศิริ) อพยพครอบครัวผู้คนมาตั้งบ้านอยู่บ้านหนองแก้ว ริมฝั่งแม่น้ำโขงด้านตะวันตก แขวงเมืองโพนพิสัย และโปรดเกล้าให้ยกบ้านหนองแก้วขึ้นเป็น  "เมืองรัตนวาปี" เมื่อ พ.ศ.2437 ส่วนพระยาศรีสุรศักดิ์สุนทร (คำสิงห์  สิงห์ศิริ) พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น พระรัตนเขตรักษา เจ้าเมืองรัตวาปี คนแรก
     พ.ศ.2436 ได้โปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ.116
     พ.ศ. 2440 พระราชทานตราตั้งให้ พระรัตนเขตรักษา (คำสิงห์  สิงห์ศิริ) เป็นพระยาโพนพิสัยสรเดช เจ้าเมืองโพนพิสัย ตามนามเมือง และยุบเมืองรัตนวาปีเป็นอำเภอสังกัดเมืองอุดรธานี ต่อมาทางราชการก็ยุบเมืองโพนพิสัยเป็นอำเภอ ขึ้นกับเมืองหนองคาย
     พ.ศ.2544 เป็นแม่กองสมทบกองทัพหลวงไประงับเหตุเรื่องผีบาปผีบุญที่เมืองอุดรธานี เมืองสกลนคร และมืองนครพนม จนเหตุการณ์สงบเรียบร้อย นอกจากนี้ยังเป็นแม่กองไรงับเหตุที่พวกเงี้ยวก่อการจราจลทางเมืองบ่อแต และเมืองแทนท้าว ในท้องที่อำเภอด่านซ้าย อำเภอท่าลี่ และอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ได้รับตราเป็นบำเหน็จ
     ส่วนการปฏิรูปการปกครองตามระบบเทศาภิบาลนั้นก็ดำเนินต่อไป จนเมื่อยุบเมืองโพนพิสัยเป็นอำเภอแล้วพระยาโพนพิสัยสรเดช (คำสิงห์  สิงห์ศิริ) ดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอโพนพิสัย ตั้งแต่ปี 2450 จนกระทั่ง ปี 2459 จึงออกจากราชการเพื่อรับพระราชทานเบี้ยหวัดปีละ 500 บาท เนื่องจากพระยาโพนพิสัยสรเดช  (คำสิงห์  สิงห์ศิริ)  มีความดีความชอบต่อแผ่นดินมาแต่อดีต พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 จึงทรงะรักระณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาสุนทรธรรมธาดา เป็นต้นตระกูล "สิงห์ศิริ" เป็นเกียรติยศต่อวงศ์ตระกูลสืบไป
     พระยาสุนทรธรรมธาดา (คำสิงห์  สิงห์ศิริ)  ล้มป่วยด้วยโรคชราถึงแก่อนิจกรรม เวลา 09.10 น. ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2497

คำขวัญเมืองโพนพิสัย

หลวงพ่อพระเสียงคู่บ้าน ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค

ประวัติเมืองโพนพิสัย

ในอดีต เมืองปากห้วยหลวง 3 กษัตริย์ บริเวณที่ตั้งอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 
เป็นเมืองเก่าตามพงศาวดารล้านช้าง
เรียกว่า "เมืองปากห้วยหลวง" เมื่อครั้ง พ.ศ.1901 พระเจ้าฟ้างุ้มมหาราช เริ่มก่อตั้งอาณาจักรล้านช้าง และยกทัพมาตี
เมืองนี้ได้ พร้อมกับยก ฐานะเป็น "เมืองหลวง" ซึ่งส่งเจ้าชายในราชวงศ์ล้านช้างมาครองเป็น 
"พญาปากห้วยหลวง" 
นักโบราณคดีได้หาคำตอบจากศิลาจารึกที่มีอยู่มากมายในเขตอำเภอโพนพิสัย แสดงว่าเวียงจันทน์ (จันทบุรี) 
เป็นราชธานีก่อน พ.ศ.2078 แล้ว สอดคล้องกับคำบอกเล่าของชาวบ้านอำเภอท่าบ่อ-ศรีเชียงใหม่ 
มิใช่เป็นราชธานี พ.ศ.2103 
เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 1 มหาราช ถอยทัพหนีพม่าล่องมาจากเชียงใหม่ และหลวงพระบาง 
หลังจากนั้นเมืองปากห้วยหลวงก็ค่อย ๆ ลดความสำคัญลง คาดว่าเพราะการวิวาทกันภายในราชวงศ์ล้านช้าง
ครั้น พ.ศ.2369 พระเจ้าไชยเชยเชษฐาธิราชที่ 3 (เจ้าอนุวงศ์) แห่งเวียงจันทน์แข็งเมือง 
นำทัพบุกเข้ามาถึงนครราชสีมา แต่สุดท้ายถูก ฝ่ายไทยตีจนทัพแตกหนีกลับไป เวลาเดียวกัน "ท้าวตาดี" 
บุตร พระยาขัติยวงษา (สีลัง) แห่งเมืองร้อยเอ็ด ได้รับบัญชาจากเจ้าคุณแม่ทัพมาสกัดเจ้าอนุวงศ์ 
เพื่อมิให้หนีไปญวน โดยตั้งทัพอยู่บ้านโพนแพง จึงเรียกกันว่า "เจ้าโพนแพง" ครั้นเสร็จศึกจึงยกเป็น 
"เมือง โพนแพง"  และท้าวตาดีได้เป็น " พระยาพิสัยสรเดช" เจ้าเมือง เมื่อ พ.ศ. 2373 
ถือเป็นต้นตระกูล "พิสัยพันธ์" สืบมา เป็นด้วยเหตุใดไม่ชัดแจ้ง พระพิสัยสรเดช (ตาดี) 
ได้ย้ายที่ตั้งเมืองจากโพนแพงมาอยู่ ณ เมืองปากห้วยหลวงเก่า ซึ่งคงจะร้างในสมัยนั้น
และเอาชื่อเมืองโพนพิสัยมาตั้งที่นี่ ด้วยเหตุที่เมืองตั้งใหม่ห่างไกลจากเมืองเก่า จึงขอยก 
" บ้านหนองแก้ว" ขึ้นเป็น"เมืองรัตนวาปี" อีกเมืองหนึ่ง เมื่อ พ.ศ.2401 และเวลาต่อมา
ในสมัยล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ 4 ให้ "ท้าวคำสิงห์" ซึ่งเข้าใจว่าคงเป็นบุตรหลานญาติ ๆ 
กันเป็น "พระศรีสุรศักดิ์" เป็นเจ้าเมือง "เมืองรัตนวาปี" สืบมา เมื่อเกิดศึกฮ่อครั้งแรก พ.ศ.2418 
บุกเวียงจันทน์นั้น ราชวงศ์เมืองหนองคาย ซึ่งรักษาการแทนพระพิสัยสรเดช (หนู) 
เมืองโพนพิสัย ถูกฆ่าตาย และพระศรีสุรศักดิ์ (คำสิงห์ สิงหศิริ) เจ้าเมืองรัตนวาปีได้รับแต่งตั้งเป็น 
"พระรัตนเขตรักษา" เจ้าเมืองโพนพิสัยแทน ซึ่งท่านได้แสดงความกล้าหาญรบพุ่งกับฮ่อหลายครั้ง
พระศรีสุรศักดิ์ (คำสิงห์ สิงหศิริ) เป็นบุตรของพระฤกษ์มนตรี และนางจอมสี 
(น่าจะคณะอาญาสี่ตระกูล พิสัยพันธ์) เกิดบ้านจอมนาง 
พ.ศ.2375 เพิ่งถึงแก่อสัญกรรมเอง พ.ศ.2497 รวมอายุถึง 120 ปีเมื่อ พ.ศ.2449 
พระศรีสุรศักดิ์ (คำสิงห์ สิงหศิริ) ได้เป็น "พระยาพิสัยสรเดช" แต่ชาวบ้านเรียกกันว่า 
"พระยาโพนพิสัย" ผู้ว่าราชการเมืองและยุบเมืองเป็นอำเภอโพนพิสัย และยุบเมืองรัตนวาปี 
เป็นตำบลในปีนั้น (กำหนดแน่นอนยังค้นไม่ได้) จน พ.ศ.2458 จึงได้ขอพระราชทานนามสกุลว่า
 "สิงหศิริ" อีกสายหนึ่ง มื่อพระศรีสุรศักดิ์ (คำสิงห์ สิงหศิริ) เกษียณราชการเป็นจางวางที่ปรึกษา 
พ.ศ.2459 จึงเปลี่ยนราชทินนามเป็น "พระยาสุนทรธรรมธาดา" (คำสิงห์) เจ้าเมืองโพนพิสัยราชทินนาม 
คือ "พระพิสัยสรเดช" ส่วน "พระศรีสุรศักดิ์" เป็นเจ้าเมืองรัตนวาปี ครั้นมาครองเมืองชั่วคราวจึงเป็น 
"พระรัตนเขตรักษา" จนเต็มตัว จึงเป็น "พระยาพิสัยสรเดช" ครั้นเกษียณ จึงเป็น 
"พระยาสุทรธรรมธาดา" จางวางที่ปรึกษา ส่วนตระกูลเจ้าเมืองทั้ง 2 เมืองนั้น คือ "พิสัยพันธ์" 
จากท้าวตาดี (เจ้าโพนแพง) แห่งร้อยเอ็ด สืบจากจารย์แก้วบูลม และมาแตกแขนงตามราชทินนาม 
หรือชื่อต่อมาเป็น "สิงคศิริสิมะสิงห์,สิริสิงห์"เมื่อครั้ง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 
ปฐมเสนาบดีมหาดไทยเสด็จตรวจราชการแม่น้ำโขง ได้ทรงบรรยายทัศนียภาพแม่น้ำโขงว่า 

"ถึงเมืองโพนพิสัย พระยาพิสัยสรเดช ได้ล่วงหน้ามารับ แวะขึ้นดูเมืองโพนพิสัย
 แล้วไปบ้านพระยาพิสัยสรเดชพอหมดเวลาครึ่งชั่วโมงที่กำหนดไว้ก็กลับลงเรือ" และ "เวลา 12.40 น. 
ผ่านหน้าเมืองรัตนวาปี เลยปากน้ำคาดไปหน่อยหนึ่ง"

อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายในปัจจุบัน
ทิศเหนือ ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) และอำเภอรัตนวาปี
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเฝ้าไร่
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอบ้านดุง อำเภอสร้างคอม และอำเภอเพ็ญ (จังหวัดอุดรธานี)
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเมืองหนองคาย และนครหลวงเวียงจันทน์ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)