วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

ประวัติเมืองโพนพิสัย

ในอดีต เมืองปากห้วยหลวง 3 กษัตริย์ บริเวณที่ตั้งอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 
เป็นเมืองเก่าตามพงศาวดารล้านช้าง
เรียกว่า "เมืองปากห้วยหลวง" เมื่อครั้ง พ.ศ.1901 พระเจ้าฟ้างุ้มมหาราช เริ่มก่อตั้งอาณาจักรล้านช้าง และยกทัพมาตี
เมืองนี้ได้ พร้อมกับยก ฐานะเป็น "เมืองหลวง" ซึ่งส่งเจ้าชายในราชวงศ์ล้านช้างมาครองเป็น 
"พญาปากห้วยหลวง" 
นักโบราณคดีได้หาคำตอบจากศิลาจารึกที่มีอยู่มากมายในเขตอำเภอโพนพิสัย แสดงว่าเวียงจันทน์ (จันทบุรี) 
เป็นราชธานีก่อน พ.ศ.2078 แล้ว สอดคล้องกับคำบอกเล่าของชาวบ้านอำเภอท่าบ่อ-ศรีเชียงใหม่ 
มิใช่เป็นราชธานี พ.ศ.2103 
เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 1 มหาราช ถอยทัพหนีพม่าล่องมาจากเชียงใหม่ และหลวงพระบาง 
หลังจากนั้นเมืองปากห้วยหลวงก็ค่อย ๆ ลดความสำคัญลง คาดว่าเพราะการวิวาทกันภายในราชวงศ์ล้านช้าง
ครั้น พ.ศ.2369 พระเจ้าไชยเชยเชษฐาธิราชที่ 3 (เจ้าอนุวงศ์) แห่งเวียงจันทน์แข็งเมือง 
นำทัพบุกเข้ามาถึงนครราชสีมา แต่สุดท้ายถูก ฝ่ายไทยตีจนทัพแตกหนีกลับไป เวลาเดียวกัน "ท้าวตาดี" 
บุตร พระยาขัติยวงษา (สีลัง) แห่งเมืองร้อยเอ็ด ได้รับบัญชาจากเจ้าคุณแม่ทัพมาสกัดเจ้าอนุวงศ์ 
เพื่อมิให้หนีไปญวน โดยตั้งทัพอยู่บ้านโพนแพง จึงเรียกกันว่า "เจ้าโพนแพง" ครั้นเสร็จศึกจึงยกเป็น 
"เมือง โพนแพง"  และท้าวตาดีได้เป็น " พระยาพิสัยสรเดช" เจ้าเมือง เมื่อ พ.ศ. 2373 
ถือเป็นต้นตระกูล "พิสัยพันธ์" สืบมา เป็นด้วยเหตุใดไม่ชัดแจ้ง พระพิสัยสรเดช (ตาดี) 
ได้ย้ายที่ตั้งเมืองจากโพนแพงมาอยู่ ณ เมืองปากห้วยหลวงเก่า ซึ่งคงจะร้างในสมัยนั้น
และเอาชื่อเมืองโพนพิสัยมาตั้งที่นี่ ด้วยเหตุที่เมืองตั้งใหม่ห่างไกลจากเมืองเก่า จึงขอยก 
" บ้านหนองแก้ว" ขึ้นเป็น"เมืองรัตนวาปี" อีกเมืองหนึ่ง เมื่อ พ.ศ.2401 และเวลาต่อมา
ในสมัยล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ 4 ให้ "ท้าวคำสิงห์" ซึ่งเข้าใจว่าคงเป็นบุตรหลานญาติ ๆ 
กันเป็น "พระศรีสุรศักดิ์" เป็นเจ้าเมือง "เมืองรัตนวาปี" สืบมา เมื่อเกิดศึกฮ่อครั้งแรก พ.ศ.2418 
บุกเวียงจันทน์นั้น ราชวงศ์เมืองหนองคาย ซึ่งรักษาการแทนพระพิสัยสรเดช (หนู) 
เมืองโพนพิสัย ถูกฆ่าตาย และพระศรีสุรศักดิ์ (คำสิงห์ สิงหศิริ) เจ้าเมืองรัตนวาปีได้รับแต่งตั้งเป็น 
"พระรัตนเขตรักษา" เจ้าเมืองโพนพิสัยแทน ซึ่งท่านได้แสดงความกล้าหาญรบพุ่งกับฮ่อหลายครั้ง
พระศรีสุรศักดิ์ (คำสิงห์ สิงหศิริ) เป็นบุตรของพระฤกษ์มนตรี และนางจอมสี 
(น่าจะคณะอาญาสี่ตระกูล พิสัยพันธ์) เกิดบ้านจอมนาง 
พ.ศ.2375 เพิ่งถึงแก่อสัญกรรมเอง พ.ศ.2497 รวมอายุถึง 120 ปีเมื่อ พ.ศ.2449 
พระศรีสุรศักดิ์ (คำสิงห์ สิงหศิริ) ได้เป็น "พระยาพิสัยสรเดช" แต่ชาวบ้านเรียกกันว่า 
"พระยาโพนพิสัย" ผู้ว่าราชการเมืองและยุบเมืองเป็นอำเภอโพนพิสัย และยุบเมืองรัตนวาปี 
เป็นตำบลในปีนั้น (กำหนดแน่นอนยังค้นไม่ได้) จน พ.ศ.2458 จึงได้ขอพระราชทานนามสกุลว่า
 "สิงหศิริ" อีกสายหนึ่ง มื่อพระศรีสุรศักดิ์ (คำสิงห์ สิงหศิริ) เกษียณราชการเป็นจางวางที่ปรึกษา 
พ.ศ.2459 จึงเปลี่ยนราชทินนามเป็น "พระยาสุนทรธรรมธาดา" (คำสิงห์) เจ้าเมืองโพนพิสัยราชทินนาม 
คือ "พระพิสัยสรเดช" ส่วน "พระศรีสุรศักดิ์" เป็นเจ้าเมืองรัตนวาปี ครั้นมาครองเมืองชั่วคราวจึงเป็น 
"พระรัตนเขตรักษา" จนเต็มตัว จึงเป็น "พระยาพิสัยสรเดช" ครั้นเกษียณ จึงเป็น 
"พระยาสุทรธรรมธาดา" จางวางที่ปรึกษา ส่วนตระกูลเจ้าเมืองทั้ง 2 เมืองนั้น คือ "พิสัยพันธ์" 
จากท้าวตาดี (เจ้าโพนแพง) แห่งร้อยเอ็ด สืบจากจารย์แก้วบูลม และมาแตกแขนงตามราชทินนาม 
หรือชื่อต่อมาเป็น "สิงคศิริสิมะสิงห์,สิริสิงห์"เมื่อครั้ง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 
ปฐมเสนาบดีมหาดไทยเสด็จตรวจราชการแม่น้ำโขง ได้ทรงบรรยายทัศนียภาพแม่น้ำโขงว่า 

"ถึงเมืองโพนพิสัย พระยาพิสัยสรเดช ได้ล่วงหน้ามารับ แวะขึ้นดูเมืองโพนพิสัย
 แล้วไปบ้านพระยาพิสัยสรเดชพอหมดเวลาครึ่งชั่วโมงที่กำหนดไว้ก็กลับลงเรือ" และ "เวลา 12.40 น. 
ผ่านหน้าเมืองรัตนวาปี เลยปากน้ำคาดไปหน่อยหนึ่ง"

อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายในปัจจุบัน
ทิศเหนือ ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) และอำเภอรัตนวาปี
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเฝ้าไร่
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอบ้านดุง อำเภอสร้างคอม และอำเภอเพ็ญ (จังหวัดอุดรธานี)
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเมืองหนองคาย และนครหลวงเวียงจันทน์ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น